ออราเคิลเติบโตเร็วที่สุดในตลาดระบบธุรกิจอัจฉริยะแบบสแตนด์อโลน ในเอเชีย-แปซิฟิก
วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2550 15:19 น.
ที่มา
พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง
ชี้ระบบธุรกิจอัจฉริยะสำหรับการใช้งานทั่วทั้งองค์กรจะผลักดันการปรับใช้ระลอกใหม่
ออราเคิลเป็นผู้ผลิตแพลตฟอร์มระบบธุรกิจอัจฉริยะแบบสแตนด์อโลน (Stand-alone Business Intelligence - BI) ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น ตามข้อมูลการรายงานล่าสุดของการ์ทเนอร์ ซึ่งระบุว่าออราเคิลมีรายได้เพิ่มขึ้น 64.8% ในตลาด BI แบบสแตนด์อโลนในเอเชีย-แปซิฟิกในช่วงปี 2548 เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านั้น ในขณะที่อัตราการเติบโตของตลาดแพลตฟอร์ม BI แบบสแตนด์อโลนอยู่ที่ 12.1% สำหรับประเทศไทยนั้น
ออราเคิลมีอัตราการเติบโตของรายได้รวมแบบปีต่อปีในธุรกิจซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม BI แบบสแตนด์อโลนในปี 2549 (ระหว่างปี 2548 - 2549) อยู่ที่14.1%
“รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรานำเสนอแพลตฟอร์ม BI ที่ดีที่สุดบนสภาพแวดล้อมแบบเปิดที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตหลายรายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” มร. สตีฟ อิลลิงเวิร์ธ ผู้อำนวยการอาวุโส, Business Intelligence and Data Warehousing Technical Solutions ของออราเคิล เอเชีย-แปซิฟิก กล่าว “องค์กรชั้นนำในภูมิภาคนี้ปรับใช้แพลตฟอร์ม Oracle Business Intelligence เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันอย่างยั่งยืน ยิ่งกว่านั้น องค์กรเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกให้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางด้านธุรกิจอย่างเหมาะสม เพิ่มรายได้ และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน”
ระบบธุรกิจอัจฉริยะสำหรับการใช้งานทั่วไปจะช่วยผลักดันการปรับใช้อย่างกว้างขวาง ไอดีซีคาดการณ์ว่าในปี 2549-2550 จะมีการลงทุนระลอกใหม่เพื่อจัดซื้อแอพพลิเคชั่น BI เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับ “BI ที่รองรับการใช้งานทั่วไป” ซึ่งสามารถปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่นและมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย นอกจากนี้ ไอดีซียังคาดว่าตลาดซอฟต์แวร์ BI และการจัดการประสิทธิภาพของธุรกิจ (Business Performance Management) และการวิเคราะห์ด้านการเงิน ในเอเชีย-แปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น จะมีมูลค่าอย่างน้อย 670 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2553
“ระบบธุรกิจอัจฉริยะสำหรับการใช้งานทั่วไปจะช่วยผลักดันการปรับใช้ BI ระลอกใหม่ในเอเชีย-แปซิฟิก” มร. อิลลิงเวิร์ธ กล่าวเพิ่มเติม “ในอดีต ระบบธุรกิจอัจฉริยะถูกใช้เพียงเพื่อรองรับการรายงานข้อมูลสำคัญๆ เท่านั้น และโดยปกติแล้วมักจะได้รับการปรับใช้ในลักษณะที่แยกออกจากกัน แต่ในปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์ สภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การเปิดเสรีทางการค้า และการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้มีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับการจัดหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างทันท่วงที เพื่อรองรับการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับขององค์กร” ในฐานะผู้นำระดับโลกทางด้านซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจและระบบคลังข้อมูล (Data Warehousing) ออราเคิลนำเสนอความเชี่ยวชาญที่เป็นเลิศ พร้อมทั้งเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่น BI แบบครบวงจรที่สามารถทำงานร่วมกับส่วนประกอบอื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน เพื่อให้องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคนี้ปรับเปลี่ยนไปสู่องค์กรที่มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึกทางด้านธุรกิจ
ระบบธุรกิจอัจฉริยะนำเสนอคุณประโยชน์ทางด้านธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัตินับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจ และองค์กรต่างๆ ก็ให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นต่อระบบธุรกิจอัจฉริยะ ทั้งนี้ข้อมูลของการ์ทเนอร์ระบุว่า ตลาด BI ในเอเชีย-แปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตรา 14.4 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในช่วงตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2552 เปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตทั่วโลก 9.5 เปอร์เซ็นต์
องค์กรต่างๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกที่พึ่งพาเครื่องมือ BI, ระบบคลังข้อมูล และแอพพลิเคชั่นทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลของออราเคิล เพื่อปรับปรุงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในทางปฏิบัติได้แก่ บริษัท บุญถาวร เซรามิค จำกัด (ไทย), China Eastern Airlines (จีน), Coates Hire Limited (ออสเตรเลีย), Hanjin Shipping (เกาหลี), Hyundai Motor Company (เกาหลี), Jinan Local Taxation Bureau (จีน), SVA (Group) Co., Ltd (จีน), Tata Motors Limited (อินเดีย), Virgin Mobile (ออสเตรเลีย) Pty Limited (ออสเตรเลีย) และ Yarra Valley Water (ออสเตรเลีย) บุญถาวร หนึ่งในตัวแทนจำหน่ายกระเบื้องและสุขภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้โซลูชั่น BI ของออราเคิลเพื่อปรับปรุงขีดความสามารถในการแข่งขัน “การใช้เครื่องมือ Business Intelligence ช่วยให้องค์กรของเรามีความชาญฉลาดมากขึ้น” คุณสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญถาวร เซรามิค จำกัด กล่าว “โซลูชั่นของออราเคิลทำให้เราได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูงภายในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงสามารถระบุแนวโน้มที่เกิดขึ้นและตอบสนองต่อสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปได้อย่างฉับไว China Eastern Airline ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสายการบินภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน ปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน BI ของออราเคิล เพื่อขยายการตัดสินใจทั่วทั้งองค์กร “เราจำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและทันท่วงทีทั่วทั้งองค์กร เพื่อให้เข้าใจการดำเนินงานของเราได้ดีขึ้น และปรับปรุงความรวดเร็วในการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาด” จี เซียวฉิง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาและวางแผนของ China Eastern Airlines กล่าว “โซลูชั่น BI ของออราเคิลช่วยให้เราสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างครบวงจร ดังนั้นเราจึงสามารถปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจในทุกระดับทั่วทั้งองค์กร การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์และถูกต้องแม่นยำทำให้เราสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม”
นำเสนอแอพพลิเคชั่น เครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยการนำเสนอซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ทางด้านธุรกิจที่หลากหลายและครบวงจร ทำให้ออราเคิลสามารถปรับปรุงขีดความสามารถในการตรวจสอบธุรกิจ ทั้งยังลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากซับซ้อนในการปรับใช้และดูแลรักษาโซลูชั่น BI ระดับองค์กร ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BI ของออราเคิลมีอยู่ที่: http://www.oracle.com/bi
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552
CRM คืออะไร
CRM หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า Customer Relationship Management เป็นคำที่เกิดขึ้นมานานเกือบสิบปีแล้ว หากแต่ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถนำความคิดนี้มาใช้ได้สำเร็จ CRM นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการหรือวิธีการที่จะเข้าใจ และตอบสนองความต้องการ (Need) และพฤติกรรม (Behavior) ของลูกค้าเพื่อที่จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดีขึ้น อันจะนำไปสู่รายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เทคโนโลยีนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมได้ดีขึ้นแต่มิใช่ปัจจัยหลัก
จะใช้ CRM ในส่วนงานไหน
โดยปกติแล้วการใช้ CRM จะใช้งานกับ 3 ส่วนหลักซึ่งก็คือ การตลาด (Marketing) การขาย (Sales) และการบริการ (Services) โดยในแต่ละส่วนจะมีการใช้ CRM ในรูปแบบต่างๆ กันไปเช่น
ส่วนการตลาด (Marketing)
CRM หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า Customer Relationship Management เป็นคำที่เกิดขึ้นมานานเกือบสิบปีแล้ว หากแต่ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถนำความคิดนี้มาใช้ได้สำเร็จ CRM นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการหรือวิธีการที่จะเข้าใจ และตอบสนองความต้องการ (Need) และพฤติกรรม (Behavior) ของลูกค้าเพื่อที่จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดีขึ้น อันจะนำไปสู่รายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เทคโนโลยีนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมได้ดีขึ้นแต่มิใช่ปัจจัยหลัก
จะใช้ CRM ในส่วนงานไหน
โดยปกติแล้วการใช้ CRM จะใช้งานกับ 3 ส่วนหลักซึ่งก็คือ การตลาด (Marketing) การขาย (Sales) และการบริการ (Services) โดยในแต่ละส่วนจะมีการใช้ CRM ในรูปแบบต่างๆ กันไปเช่น
ส่วนการตลาด (Marketing)
1.การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) เป็นส่วนที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลซึ่งอาจเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวลูกค้า (Customer) สินค้า (Product) หรือการกระทำใดๆ (Interaction or Behavior) ที่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้า ซึ่งผลลัพธ์จากการวิเคราะห์เหล่านี้อาจเป็น กลุ่มของลูกค้าได้จำแนกไว้ (Customer Segment) กลุ่มของสินค้าซึ่งเหมาะสมกับลูกค้าบางกลุ่ม (Product Segment) คำทำนาย (Forecast) พฤติกรรมของลูกค้า หรือสินค้าที่ลูกค้าจะสนใจโดยดูจากข้อมูลของลูกค้าปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งลักษณะเหตุการณ์ที่ควรจะเตือน (Alert) เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมนั้นๆ ได้ทันท่วงที
2.การบริหารแคมเปญ (Campaign Management) จะเป็นส่วนที่ช่วยให้ทีมการตลาดสามารถเลือกกำหนดลูกค้าที่คาดว่าน่าสนใจให้เหมะกับสินค้าในแคมเปญที่กำหนดขึ้น ผลที่ได้จากการวิเคราะห์จะช่วยให้การกำหนดกลุ่มลูกค้าและสินค้ามีโอกาสที่จะได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น มิใช่การเหวี่ยงแหหาปลาโดยไม่มีตัวนำทาง การบริหารแคมเปญจะรวมถึงการวัดผลตอบรับซึ่งผลที่ได้จะเป็นประโยชน์สำหรับการออกแคมเปญอื่นๆ ในอนาคต
ส่วนการขาย (Sales)
ส่วนการขาย (Sales)
1.ภาพรวมของลูกค้า (Single View of Customer) เป็นส่วนที่เป็นหัวใจของทีมงานขายเมื่อต้องติดต่อกับลูกค้า ภาพรวมของลูกค้าจะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจกับทีมงานขายที่สามารถทราบข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าที่มีกับองค์กรหรือผู้ประกอบการ ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงข้อมูลของลูกค้า (Customer Profile) ประวัติการติดต่อของลูกค้า (Contact History) สินค้าของลูกค้าที่มีอยู่กับองค์กร (Product History) และอาจรวมถึงความสัมพันธ์ของลูกค้าคนนี้กับลูกค้าอื่นๆ (Customer Relationship)
2.การบริหารกลุ่มเป้าหมาย และโอกาสในการขาย (Lead and Opportunity Management) เป็นส่วนที่ช่วยทีมงานขายจัดแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Lead) ตั้งเป้าหมาย (Target) วัดผล คิดค่าตอบแทนของทีมขาย (Commission) และเก็บข้อมูลอย่างเช่น ประวัติการติดต่อกับลูกค้า (Contact History) สถานะของโอกาสในการขาย (Sale Stage) ผลลัพธ์ของการขาย ข้อมูลคู่แข่ง (Competitor) และเหตุผลที่ไม่สามารถปิดการขายได้ ส่วนบริการ (Services)
3.การบริหารเหตุแจ้ง (Case Management) เหตุแจ้งต่างๆ จะมีการบันทึกซึ่งสามารถส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุรับแจ้ง ติดตามผล แจ้งกลับ และวัดระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละช่วงเพื่อนำมาปรับปรุงการตอบสนองต่อเหตุรับแจ้งให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
supply chain management
SCM คือ กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยที่องค์การต่าง ๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกัน
ในการปรับตัวขององค์การเพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานนั้น สิ่งที่สำคัญ คือ เพื่อให้องค์การมี ความสามารถในการบริหาร ความเติบโตของธุรกิจ และความยั่งยืนของธุรกิจ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
การดำเนินธุรกิจในยุคนี้ให้ประสบความสำเร็จ และมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแท้จริง องค์การไม่สามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือกระทำโดยลำพังได้ ดังนั้น การปรับมุมมองการดำเนินงานเข้าสู่แนวคิด SCM จึงควรมีความเข้าใจความหมายของ SCM อย่างครบถ้วนเพื่อที่จะสามารถพิจารณา และกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง การบริหารในปัจจุบันและอนาคตนั้นองค์การจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
•การทำกำไรในปัจจุบันทำได้ยากขึ้น ในอนาคตองค์การอาจต้องมีการจัดการผลกำไรอย่างเจาะจงตามประเภทลูกค้า และสินค้า และมองหาโอกาสในการสร้างกำไรในอนาคตระยะยาว
•ผู้นำองค์การในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับการสร้างพันธมิตร ในอนาคตการพัฒนาองค์การจะเป็นไปในลักษณะของการสร้างเครือข่าย (Networking Organization)•การทำงานของบุคลากรจะเน้นการทำงานได้หลากหลาย ทำงานข้ามวัฒนธรรม และได้รับค่าตอบแทนตามผลงาน และให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าของร่วม
•ช่องทางธุรกิจใหม่ ๆ กำลังเปลี่ยนแปลงและเปิดโอกาสทางธุรกิจ ช่องทางดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาสภาพทางการตลาด มีการกำหนดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และช่องทางใหม่มีการรวบรวมคนกลางและกำหนดการลงทุนธุรกิจใหม่
•การมีช่องทางมากขึ้น กระแสโลกาภิวัตน์ การมีลูกค้าที่หลากหลาย จำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้ทำให้การบริหารองค์การทำได้ยากขึ้น ทำให้องค์การเข้าสู่การเป็นองค์การขยาย และเน้นการตอบสนองลูกค้าเป็นราย ๆ
•มีการใช้ระบบช่วยในการตัดสินใจและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)
•การประเมินผล และการนำทิศทางองค์การ มุ่งเน้นมูลค่าของหุ้นและมูลค่าเพิ่มของธุรกิจ
•เน้นหนักสินค้าบริการเฉพาะตัว และให้ความสำคัญกับราคามากขึ้น ลูกค้ามีความคาดหวังต่อบริการมากขึ้น
•คุณภาพถือเป็นสิ่งบังคับที่ต้องมีอยู่แล้วลูกค้าไม่ต้องการสินค้าหลากหลายแต่ต้องการสินค้าที่เหมาะกับตน องค์การจะต้องเน้นการทำตลาดเจาะจงโดยใช้แหล่งวัตถุดิบร่วมกัน รวมทั้งเน้นการผลิตสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้น
•การตลาดมุ่งเน้นลูกค้าแต่ละราย
•การบริหารเน้นการสร้างพันธมิตรมากขึ้น เช่น การเป็นพันธมิตรกับคู่แข่งมากขึ้นทั้งในลักษณะเอกเทศและพหุภาคี (มานะ ชัยวงค์โรงจน์,2546:26-27)
ในแต่ละองค์การต่างมีระบบ SCM แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ระบบ SCM ขององค์การ ที่ประกอบไปด้วย ผู้ส่งมอบ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายและลูกค้านั้นแต่ละหน่วยมีความเข้มแข็ง หรือมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ซึ่งหมายความว่าองค์การ มีการจัดระบบให้มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวรองรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีเพียงใด มีหน่วยวัดความสำเร็จของระบบโดยรวมที่ชัดเจนหรือไม่ มีการพัฒนาระบบในตัวเองได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างไร
วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)